ฉันจำไม่ได้ว่าการแสดงออกของฉันเป็นการรักลูกและห่วงลูกมากเกินไป นี่คือ คำกล่าวขานของผู้พบเห็นทุกคนที่ใกล้ชิดและรู้จัก จะทักทายและบอกให้ฉันได้ยินเสมอว่า เธอรักลูกและห่วงมากเกินไปหรือเปล่าจ๊ะคุณเพื่อน
จนถึงชั้น ประถมปีที่ 7 จนเพื่อนและครูแซวกัน จนต้องบอกท่านว่า คุณแม่เพื่อนกับครูแซวแล้วหล่ะ นั้นหล่ะค่ะถึงได้เป็นจุดเปลี่ยนของการเติบโตของฉัน ฉันเริ่มออกเดินทางไปโรงเรียนกับน้องสาวตามลำพังโดยไม่ยอมขึ้นรถเมล์ไม่ใช่ไม่มีสตังค์นะค่ะ แต่เพราะกลัวตกรถและเลยป้ายต่างหาก อ้อมีเรื่องย้อนอดีตไปทุกครั้งที่คุณแม่จะเล่าเรื่องเก่าๆเรื่องการอดนมของลูก ท่านจะต้องมีเรื่องเล่าถึงฉันในอดีตเสมอว่าเป็นเด็กที่เลิกทานนมขวดช้ามากๆ จนคุณครูต้องบอกห้ามคุณแม่ว่าห้ามให้ฉันพกขวดนมไปโรงเรียนโดยเด็ดขาดไม่เช่นนั้น ลูกจะอ่านหนังสือไม่ชัดและพูดไม่ชัดด้วยจนคุณแม่ตัดสิ้นใจเอาบรเพ็ดทาที่จุกนม นั้นก็หมายถึงว่าฉันต้องอดทานนมขวดตั้งแต่นั้นมารู้สึกถ้าจำไม่ผิดประมาณ 5 ขวบนั้นเอง ฉันนั่งนึกถึงคำพูดเพื่อนแล้วตัวเองย้อนอดีตกลับไปถึงคุณแม่ตัวเองทุกครั้ง และพูดกับตัวเองเสมอว่าฉันยังรักลูกไม่มากเหมือนคุณแม่ฉันนะ คุณแม่ฉันรักฉันและน้องสาวมากกว่าเสียด้วยซ้ำไปแต่ท่านไม่พูด จนถึงทุกวันนี้ท่านก็คงถามฉันเสมอเวลาฉันก้าวเท้าออกจากบ้าน จะเป็นคำถามที่ได้ยินเสมอ ว่า ไปไหนหากเราไม่ทำความเข้าใจก็จะหงุดงหิดกันไปว่า โตแล้วจะถามทำไมกัน แต่ ณ วันนี้ฉันยอมรับว่า ธรรมะ และการมีสติและสมาธิตั้งมั่นให้สงบ ธรรมะสามารถทำให้ใจฉันสงบนิ่งมากขึ้นและเมื่อลูกเราโตขึ้น ฉันยิ่งต้องตั้งสมาธิและสติให้นิ่งและใจเย็นในการเลี้ยงลูกในปัจจุบันจริงๆ