วันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2554

รสอมเปรี้ยวอมหวาน กีวี Kiwifruit ผลไม้ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงสุด



กีวี Kiwifruit สุดยอดผลไม้ที่มีเนื้อในสีเขียวใส เนื้อหนา ชุ่มน้ำ รสอมเปรี้ยวอมหวาน เป็นผลไม้ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงสุด ในปริมาณแคลอรีต่ำที่สุด มีปริมาณวิตามินซีสูงสุด โฟเลต วิตามินอี เหล็ก แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม และมีเส้นใยมาก และไม่มีโคเลสเตอรอล กีวี หนึ่งผลมีวิตามินซีมากกว่าส้มหนึ่งลูกถึง 74% การรับประทานกีวีสองผลต่อวัน จะช่วยเพิ่มปริมาณวิตามินซีในร่างกายอย่างเห็น ได้ชัด ช่วยกระตุ้นการทำงานของ ภูมิคุ้มกันโรค ซึ่งเป็นเกราะธรรมชาติที่ช่วยป้องกัน ไข้หวัด และไข้หวัดใหญ่ และซ่อมแซมร่างกายส่วนที่สึกหรอและกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ๆ
กีวีฟรุ๊ต (Kiwifruit)  เป็นผลไม้ของเมื่องจีน เป็นผลไม้เมืองหนาว 

มีชื่อสามัญว่า Kiwi fruit  
มีชื่อเดิมว่า Chinese gooseberry 
ภาษจีนเรียกกีวีว่า หมีโหวเถา (mi houtao) 
ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Actinidia chinensis L.   
กีวีมีถิ่นกำเนิดอยู่ที่ประเทศจีน พบมากแถบลุ่มแม่น้ำฉางเจียง แยงซีเกียง) ในสมัยก่อนกีวีได้รับการยกย่องจากพระมหาจักรพรรดิ ว่าเป็นผลไม้ที่มีรสชาติเป็นเลิศ กีวีเริ่มเป็นที่รู้จักแพร่หลายนอกประเทศจีนในช่วงปี ค.ศ. 1800-1900 ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 Mary Isabel Fraser ครูใหญ่ที่เดินทางไปเยี่ยมโรงเรียนสอนศาสนาที่ประเทศจีนได้นำเมล็ดกีวีนี้กลับมาที่นิวซีแลนด์ เมื่อเจออากาศดีดินสมบูรณ์ จึงให้ผลผลิตที่มีคุณภาพ นิวซีแลนด์ได้นำมาปลูกและยังพัฒนาปรับปรุงพันธุ์ให้มีผลโต รสชาติดี และสามารถขนส่งได้โดยที่ผลไม่นิ่มเละ ต่อมาก็ได้เปลี่ยนชื่อเป็น Melonettle ได้สักระยะเวลาหนึ่งก็ได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น Kiwifruit เมื่อประมาณค.ศ. 1962 (Kiwi เป็นชื่อนกประจำชาติของนิวซีแลนด์ และยังเป็นชื่อของตลาดของคนชาวนิวซีแลนด์ด้วย) ผลกีวีได้กลายเป็นผลไม้ส่งออกที่สำคัญของประเทศ นอกจากนี้ยังได้พัฒนาสายพันธุ์และคุณภาพให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ในเมืองไทยได้มีการทดลองนำกีวีเข้ามาปลูกในพื้นที่บนดอยอ่างขาง และดอยขุนวาง จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา
กีวีที่วางขายในท้องตลาดมี 2 แบบ คือ 
1.Green Kiwi ซึ่งผลเป็นทรงกลมรี เปลือกสีน้ำตาล และมีขนสีน้ำตาลปกคลุมบางๆ เนื้อในเป็นสีเขียว รสเปรี้ยวอมหวาน 
2.Gold Kiwi ซึ่งทรงเหมือนหัวจุก เปลือกสีบรอนซ์เนียน เนื้อในสีเหลือง รสชาติหวานกว่าแบบแรก
 วิธีการเลือกซื้อ เนื่องจากผลไม้ชนิดนี้ข้ามน้ำข้ามทะเลมา ให้พยายามเลือกที่เปลือกตึง เนื้อแน่น ไม่มีรอยช้ำ เวลากดเบาๆ เนื้อจะนิ่มไม่มาก เมื่อซื้อมาแล้วควรเก็บในตู้เย็นเพื่อรักษาความสด ในส่วนของราคานั้นแบบสีเขียวและสีทองจะต่างกันไม่มาก ขึ้นอยู่กับว่าชอบแบบใดมากกว่ากัน
 การนำมารับประทานนั้นมีหลายแบบ แต่ถ้ากินเพื่อให้ได้สารอาหารเต็มเปี่ยม เช่น วิตามินซี วิตามินอี และโฟเลตนั้น แนะนำให้กินแบบสด ซึ่งวิธีกินง่ายๆ ไม่เลอะมือคือใช้ช้อนผ่าครึ่งลูก แล้วตักเนื้อตรงกลางกินได้เลย ถ้าซื้อกีวีแบบแพ็กจะแถมช้อนพลาสติกซึ่งมี 2 ด้าน คือ ด้านหยักสำหรับผ่าครึ่งลูก และด้านเรียบสำหรับตักเนื้อตรงกลางกิน
 ผลกีวีสามารถนำมาทำขนมและเครื่องดื่มได้หลายแบบ อาทิ ฟรุตสลัดใส่สตรอว์เบอร์รีและส้ม หรือปั่นเป็นสมูทตีก็ใช้ได้ หรือหั่นและผสมโยเกิร์ตรสธรรมชาติกินก่อนนอน รับรองสบายตัวในตอนเช้า เพราะผลกีวีมีเส้นใยอาหารเพียบ

ประเทศไทยได้ชื่อว่าเป็นอีกหนึ่งประเทศที่โชคดี เพราะมีพื้นดินที่อุดมสมบูรณ์เอื้อต่อการปลูก ผลไม้ หลายๆชนิด ทำให้คนไทยเรามี ผลไม้ กินไม่ขาดสายตลอดทั้งปี แล้วแต่ใครจะเลือกตามความชอบของตัวเอง ถ้าใครกินผลไม้ ได้ทุกประเภทก็คงไม่มีปัญหา เพราะมั่นใจได้ว่าจะได้รับวิตามินครบถ้วน แต่สำหรับใครที่ค่อนข้างจะเลือกรับประทาน อาจต้องคิดหนักหน่อยว่าจะเลือกซื้อผลไม้ชนิดใด อย่างไร เพื่อให้คุ้มค่ากับราคา และได้ประโยชน์สูงสุดต่อสุขภาพ

  กีวีอุดมด้วยโฟเลต สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์
 โฟเลต มีบทบาทสำคัญในการสร้างสารพันธุกรรม จึงจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับเด็กทารกและคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ เพราะเป็นช่วงที่ร่างกายต้องการเซลล์ใหม่เป็นจำนวนมาก การรับประทานโฟเลตเป็นประจำทั้งก่อนและระหว่างตั้งครรภ์ ยังช่วยทำให้ผิวและเซลล์เม็ดเลือดมีสุขภาพดี กีวีมีปริมาณโฟเลตสูงสุดเมื่อเปรียบเทียบกับกล้วย มะม่วง สัปปะรด และแอปเปิ้ล โดยมากกว่ากล้วย 49% และมากกว่ามะม่วงถึง 112.8%
 สุดยอดคุณค่าวิตามินอี
 วิตามินอี ได้รับการขนานนามว่าช่วยชะลอความแก่ชรา ด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่ลดความเสื่อมของอวัยวะต่างๆ คุณสมบัติที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระของวิตามินอี นอกจากจะช่วยป้องกันเซลล์จากการเสื่อมสภาพแล้ว ยังช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และช่วยในการไหลเวียนของเลือดอีกด้วย จากการวิจัยพบว่ากีวีมีปริมาณวิตามินอีสูงสุด โดยเฉพาะ กีวีทอง ซึ่งมีวิตามินอีมากกว่ามะม่วงถึงหนึ่งเท่า
 เต็มที่ด้วยพลังไฟเบอร์
 ไฟเบอร์ หรือ เส้นใยอาหาร เป็นสารที่ไม่ให้พลังงานในร่างกาย แต่เข้าไปยึดพื้นที่ในระบบทางเดินอาหารทำให้อิ่มได้เร็วและนาน นอกจากนี้ ยังช่วยชำระล้างและปรับปรุงระบบย่อยอาหาร รวมถึงส่งเสริมให้หัวใจและร่างกายแข็งแรง กีวีเขียวหนึ่งผลมีปริมาณไฟเบอร์มากกว่ากล้วย 15% และมากกว่าแอปเปิ้ลและส้มถึง 25%

 กีวีเป็นไม้ผลัดใบ ประเภทไม้เลื้อย กิ่งและใบมีขนสีน้ำตาลแดงปกคลุม ใบเป็นใบเดี่ยว เรียงตัวแบบสลับก้านใบยาว ดอกเป็นแบบไม่สมบูรณ์เพค ดอกตัวผู้และดอกตัวเมียจะอยู่ต่างต้นกัน มีทั้งดอกเดี่ยวและเป็นช่อ กลีบดอกตัวเมียจะอยู่ต่างต้นกัน มีทั้งดอกเดี่ยวและเป็นช่อ กลีบดอกสีขาว ผลกีวีมีรูปทรงไข่ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางผล 5 ซม. สีน้ำตาล มีขนเส้นเล็ก ๆ ปกคลุมทั่วผล เนื้อในสีเขียวใส เนื้อหนา ชุ่มน้ำ รสอมเปรี้ยวอมหวาน พันธุ์กีวีที่ได้รับความนิยมมีดังนี้
         o พันธุ์ Abbott มีรูปร่างกลมรี ขนยาวปกคลุมทั่วผล
         o พันธุ์ Allison รูปร่างกลมรี คล้ายกับพันธุ์ Abbott แต่มีขนาดใหญ่กว่า
         o พันธุ์ Bruno ผลใหญ่ ยาวรีกว่าพันธุ์อื่น ๆ ผิวเปลือกสีน้ำตาลเข้ม ขนอ่อนสั้นและเปราะ
         o พันธุ์ Hayward ผลเป็นรูปไข่ ผิวเปลือกสีน้ำตาลอมเขียวมีขนอ่อนปกคลุมทั่วเปลือก
         o พันธุ์ Monty เป็นพันธุ์ที่ตรงขั้วผลสอบ ส่วนท้ายผลโค้งมีขนอ่อนปกคลุม ขนาดผลใกล้เคียงกับพันธุ์ Abbott และ Allison
  กีวีเป็นผลไม้ที่สามารถเก็บได้นานถึงครึ่งปี ในอุณหภูมิปกติ แต่ถ้าเก็บไว้ในอุณหภูมิที่เย็นก็สามารถเก็บไว้ได้ถึง 1 ปีทีเดียว ที่เก็บไว้นานเช่นนั้น เนื่องจากเปลือกของกีวีมีคุณสมบัติที่ดี dooaloys เคยนำกีวีมาปรุงอาหารคู่กับเนื้อวัว ซึ่งทำให้เนื้อวัวนุ่มและมีรสชาติที่ดี คุณอาจจะนำกีวีไปหมักกับเนื้อก่อนนำมาย่างเป็นเนื้อสเต็กก็ได้ จะได้รสชาติที่อร่อยเป็นอย่างมาก



เอกสารอ้างอิง





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น