วันจันทร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2555

สายใยแห่งความผูกผัน

อรุณสวัสดิ์ท่านผู้อ่านที่น่ารัก เมื่อวานนี้เราพบกับบรรยากาศความร้อนระอุกันไปแล้วนะค่ะ เมื่อคืนนี้ตัวผู้เขียนได้มีโอกาสยามว่างนั่งนึกถึงบทความที่เขียนไปแล้วเกี่ยวกับการดูแลลูกหลานของเราในแต่ละวัย นั่งอ่านบทความแล้วบทความเหล่า นึกได้ว่ามีบทความหนึ่งที่ประทับใจในตัวเราเองก็คือการเฝ้าติดตามมองดูลูกสาวและลูกชายเจริญเติบโตในแต่ละช่วงเวลา มีทั้งบทเรียนราคาแพงสำหรับคนที่เป็นแม่และลูกก็มี ตัวผู้เขียนเคยนั่งนึกถึงว่าอดีตชาติที่แล้วเราคงทำบุญไว้มากพอที่ปัจจุบันเราได้ลูกสาวที่น่ารักมานั่งนึกย้อนอดีตเจ้าหนูน้อยร่างอวบแก้มแดงเติบโตมาจัดลำดับถือว่าเป็นเด็กน้อยที่เลี้ยงง่ายมากกินนมเสร็จนอนหลับ จะหยุดพูดก็ต่อเมื่อง่วงนอนเท่านั้น เราก็ได้แต่เฝ้ามองสาวน้อย
ผู้นั้นเติบโตขึ้นมาอย่างสวยงาม มันอาจจะมีอุปสรรคแต่ก็ผ่านไปด้วยดี ตัวผู้เขียนเองเพิ่งจะเกิดศรัทธาแรงกล้ากับคำว่า " แม่ " ก็ ณ วันนี้ว่าคนที่จะเป็นแม่สมบูรณ์แบบนั้นจะต้องเป็นเช่นไร ต้องมีสติ สมาธิ ความสุขุมเยือกเย็นอย่างมากในการเลี้ยงดูลูกให้ผ่านไปในแต่ละปีที่สาวน้อยเจริญตามวัย การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในวัยเด็ก วัยทีนเอจ วัยรุ่น จนกระทั่งเริ่มเข้าสู่วัยหนุ่มสาว จนถึงวัยผู้ใหญ่อย่างเรา การเปลี่ยนแปลงของลูกทำให้ตัวผู้เขียนนึกย้อนไปถึงตัวเองในวัยต่างๆที่เราพอนึกอดีตได้ว่าเราเป็นเช่นไรเกเร เรียบร้อย หรือไหม สายใยของความผูกผันที่แม่และลูกมีให้กันแม้จะเกิดอุปสรรคอย่างไร ดิฉันคิดว่าเราต้องใช้สติและไม่ใจร้อน อดทนและหนักแน่นในการเลี้ยงลูกจริงๆ หากเราต้องการให้ลูกของเราเติบโตขึ้นอย่างมีคุณภาพจิตใจที่ดีงามและสวยงามจริงๆ แฝงไปด้วยความอบอุ่นที่แม่มอบให้ลูก และลูกมอบให้แม่ ตัวฉันเองเป็นคนที่เขาเรียกว่าบ่อน้ำตาตื้น เป็นคำพูดของคุณแม่สมัยก่อนที่ชอบเรียกเรา ดูหนังเศร้าก็ร้องไห้ ดุนิดหน่อยก็ร้องไห้ เห็นคนแก่ข้างทางก็น้ำตาไหล ตัวฉันเป็นเช่นนั้น ยามที่ฉันสอนลูกมักจะน้ำตาไหลไม่ใช่ฉันขี้แยแต่ฉันจะเศร้าทุกครั้งที่มีการเจรจากับลูกๆ หรือกับคนอื่นหากทะเลาะก็น้ำตาไหลเหมือนกัน
 คุณยายฉันเคยบอกเสมอว่าฉันเป็นคนช่างสงสารคนมาตั้งแต่เด็กแล้ว เชื่อหรือไม่ค่ะว่าฉันเลี้ยงลูกๆ ไม่เคยตี อ้อมีอยู่ครั้งหนึ่งตอนนั้นอาบน้ำให้ตอนเด็กเล่นกัน เล่นไปเล่นมาเกิดอาการอะไรจำไม่ได้ ฉันลองทำโทษ1ทีที่ก้น เชื่อไหมค่ะว่าร้องไห้ไม่เลิกแถมตัวฉันเองรู้สึกไม่ดีเมื่อเห็นน้ำตาสาวน้อย ตั้งแต่นั้นมาฉันไม่เคยตีลูกอีกเลยใช้วิธีอธิบายกันด้วยเหตุผลซะมากกว่าที่จะใช้ไม้ แต่มีคนส่วนใหญ่จะว่าทำไมไม่ตีเมื่อลูกทำผิด ฉันบอกว่าเราสอนเขาได้ด้วยเหตุและผลทำไมต้องตีกันด้วย เพียงฉันหยิบไม้เรียวสาวน้อยฉันก็ร้องไห้แล้ว  มาถึงตรงนี้ฉันก็ยังนึกถึงเวลาลูกๆไปเข้าค่ายลูกเสือเนตรนารี ฉันจะไปด้วยตลอดเวลา สายใยที่เราคิดถึงกันมันแฝงอยู่ลึกๆของหัวใจเราแม่ลูกเสมอ ณ วันนี้ฉันทราบแล้ว่าคุณแม่ของฉันท่านอาจจะเป็นคนที่ไม่พูดไม่แสดง แต่ ณ วันนี้ฉันก็รับรู้แล้ว คำว่า " แม่ " นั้นสำคัญและรักลูกเสมอไม่ว่าลูกจะทำผิดอย่างไรท่านก็ให้อภัยและไม่ถือโทษลูกเลย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น