วันศุกร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ความทรงจำที่ถูกทอดทิ้ง

      ในยามค่ำคืนที่เงียบสงบมันเป็นเวลาที่สมองของฉันต้องการทำงานขึ้นมาเมื่อฉันได้มีเวลาว่างแบบไร้เสียงจอแจของลูกๆ ฉันนึกขึ้นมาว่ามีบทความหนึ่งที่ตั้งใจเขียนเพื่อเป็นอุทธาหรณ์สอนคนที่เป็นลูกทุกคนว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่ว่าเราจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ตัวผู้เขียนคิดว่ามันเป็นบาปที่เกิดขึ้นทันทีที่ลูกมีความคิดเช่นนั้นกับผู้มีพระคุณล้นศรีษะและสิ่งที่สำคัญที่สุดเหมือนเราทำให้ท่านผู้เป็นมารดานั้นเสียใจไม่ว่าจะถูกหรือผิดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตัวผู้เขียนนั่งวิเคราะห์และหาบทสรุปว่าไม่ว่าการกระทำบาปขึ้นมาอย่างใดอย่างหนึ่งจะด้วยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจกับ บิดามารดาแล้วไซร์นั้นมันเป็นบาปที่เกิดขึ้นในจิตใจของผู้เป็นลูกอย่างไม่มีวันเลือนหายไปเลยจากความทรงจำมันจะวนเวียน หรือที่เขาเรียกว่า เวียนว่ายตายเกิดกันจริงๆ หากผู้เป็นลูกเก็บความเจ็บปวดที่พ่อแม่มีให้มาและฝังจำไม่มีเลือน มันก็เปรียบสะเหมือนการจองเวรซึ่งกันและกัน ไม่มีการยกโทษให้กันอย่างเช่นที่ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้สอนไว้นั้นเอง ตัวผู้เขียนคิดว่าสิ่งเล่านี้มันเป็นวัฏจักรวงล้อของกรรมมากกว่า ที่ได้มีบทสอนอยู่บทหนึ่งที่ตัวผู้เขียนได้ยินอยู่ตลอดเวลาว่า
พ่อแม่ดุด่าหรือว่ากล่าวลูก หรือแม้แต่ตัดสิ้นซึ่งกัน กรรมนั้นอย่างไม่รุนแรงเท่ากับ ลูกตัดสิ้นเยื้อใยต่อพ่อแม่ กรรมนั้นนับทวีคูณมากมายมหาศาลจริงๆ ตัวผู้เขียนเคยได้ลงบทความหนึ่งที่เคยเกิดที่พม่ามาแล้วจากข่าวสาร แต่ความเป็นจริงยังหาข้อสรุปไม่ได้ แต่นะวันนี้ตัวผู้เขียนได้ตระหนักดีแล้วว่าหากเราได้ตำหนิท่านในใจของคนที่เป็นลูกอย่างเราคงหาความสงบของจิตใจไม่ได้เลยจริงๆ ตัวผู้เขียนคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวผู้เขียนในวันนั้นมันไม่ดีมากๆที่เราไม่สามารถเข้าใจจิตใจมารดาตนเองที่มีอายุมากขึ้น และมีการเปลี่ยนแปลงชีวิตและอายุขัยของท่านในขณะนี้ทั้งๆที่ตนเองได้เขียนบทความมากมายเผยแพร่ให้ผู้อื่นรับรู้และแบ่งปันความดีงามกัน แต่กับตนเองควบคุมอารมณ์นั้นไม่ได้และไม่เข้าใจในความรู้สึกของท่านว่าเป็นเช่นไร วันนั้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันทำให้ลูกอยางฉันรู้สึกผิดมากมายทั้งๆที่ผ่านมาเข้าใจท่านดีมาตลอดด้วยซ้ำไปแต่กลับทำให้น้ำตาของมารดา
ตนเองหลั่งไหล่ได้ มันช่างบาปเสียกระไร ฉันคิดย้อนไปถึงภาพอดีตที่คุณแม่ท่านเล่าความหลังของท่านกับคุณยายให้ฟัง และมาวิเคราะห์กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับฉันในวันนั้นมันช่างเป็นเหตุการณ์เดียวกันจริงๆ ฉันเฝ้าคิดและไตร่ตรองวันรุ่งขึ้นฉันทนไม่ไหวจริงๆ ฉันต้องเข้าไปหาท่านเพื่อที่จะคุยกับท่าน แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเย็นวันนั้นฉันยอมรับว่ามันสะเทือนใจฉันมาก ฉันไม่เคยเห็นท่านยอมรับความผิดพลาดของท่านหรือการยอมรับว่าท่านผิดก่อนด้วยการหลั่งน้ำตาของท่านเหมือนเด็กน้อยที่ทำความผิดเลยเช่นนั้น วันนั้นฉันกอดท่านและก้มลงกราบเท้าท่านและปลอบท่าน ด้วยอะไรบอกไม่ถูกจากห้วงลึกของหัวใจที่มันจะสลายไปจริงๆ วันนั้นฉันรู้สึกเจ็บมากทั้งหัวใจทั้งสี่ห้องก็ว่าได้ ว่าฉันทำอะไรลงไปทำไมฉันจึงทำให้ผู้มีพระคุณของฉันต้องหลั่งน้ำตาได้เพียงนั้น มันเป็นการประดั่งความสูญเสียหลายๆอย่างของท่านมาที่ฉันหลายเรื่องหลายอย่างที่ฉันไม่เข้าใจความรู้สึกที่ท่านสูญเสียความรักและความรู้สึกที่ดีของท่านที่ผ่านมาในอดีตจนถึงปัจจุบันเลย และเมื่อถึงเวลาที่ทำนบของเขื่อนมันแตกก็ทำให้พังทำนบมาที่ฉัน จนฉันตั้งตัวไม่ติดเลยจริงๆ แต่ ณ วันนี้ฉันเข้าใจแล้ว มันเป็นสัจจธรรมล้วนแล้วที่เวียนว่ายตายเกิดที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ ไม่ต้องไปภพหน้า หรือชาติหน้าหรอก มันเวียนว่ายอยู่ในภพนี้นั้นเอง
 ฉันพึ่งเข้าใจอย่างถ่องแท้ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับฉันเองในเวลาอันชั่วพริบตาเดียวนี้เอง ฉันได้เก็บสิ่งนี้สอนลูกๆทันทีเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ควรจะเกิดขึ้นกับบิดามารดาเลย นั้นมันหมายถึงบาปที่ที่เราได้กระทำอย่างใหญ่หลวงมหาศาลจริงๆ วันนี้ตัวผู้เขียนของฝากบทความนี้กับผู้เป็นลูกทุกคน หากเรามีข้อกังขาเกิดขึ้นกับบิดามารดาจะด้วยเจตนาหรือไม่เจตนา ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ส่งที่ทุกท่านควรทำคือการไม่จองเวรซึ่งกันและกัน การอโหสิกรรมให้กันและกันนั้นเองค่ะ โปรดช่วยกันรักษาน้ำใจของท่านผู้ให้กำเนิดเราอย่างพลาดพลั้งเอ๋ยปากให้ท่านเจ็บช้ำน้ำใจ ท่านว่ากล่าวเราได้แต่อย่าว่ากล่าวท่านตอบ เพราะฉนั้นหมายถึงวงล้อชีวิตของเราจะหมุนไปพบมันนั้นเองในภพนี้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น